Last updated: 6 มิ.ย. 2566 | 3039 จำนวนผู้เข้าชม |
กาแฟในปัจจุบันถือเป็นที่นิยมมาก เรียกได้ว่า หันมองไปทางไหนก็มีแต่คนที่ดื่มกาแฟทั้งนั้นเลยค่ะ กาแฟถือเป็นตัวชุบชีวิต หรือชุบพลังของเราให้มีแรงในการทำงาน หรือใช้ชีวิตในแต่ละวันเลยใช่ไหมคะ เพราะคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟนั้น ช่วยกระตุ้นสมองของเรา ทำให้กระปรี้กระเปร่า ช่วยกระตุ้นวามคิดและความจำ รวมถึงช่วยเพิ่มในเรื่องของระบบเผาผลาญของเราอีกด้วย
แต่ในบางคนนั้นร่างกายมีความไวต่อคาเฟอีนสูง เมื่อได้รับคาเฟอีนในปริมาณเล็กน้อยๆ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับ ฯลฯ
แล้วรู้หรือไม่คะจริงๆแล้ว คาเฟอีน ไม่ได้อยู่แค่ในกาแฟที่เราดื่มเท่านั้น แต่ยังซ่อนอยู่ในอาหาร หรือเครื่องดื่มต่างๆในชีวิตประจำวันของเราอีกด้วย
มาถึงตรงนี้แล้วคงตั้งคำถามในใจกันแล้วใช่ไหมคะว่าสรุปแล้วคาเฟอีนอยู่ที่ใดบ้าง เราไปหาคำตอบพร้อมกันเลยค่าา
คาเฟอีนในชา
อย่างที่ใครหลายๆคนรู้กัน ว่าจริงๆแล้วในชานั้นคาเฟอีนอยู่ แต่คาเฟอีนในชาแต่ละชนิดนั้นก็มีปริมาณที่ต่างกัน
ในชาร้อน 1 แก้ว และกาแฟร้อน 1 แก้ว ที่มีขนาดและปริมาณด้านในเท่ากัน คาเฟอีนในชา ก็มีน้อยกว่าคาเฟอีนในกาแฟมากค่ะ
ในปกติแล้วชาดำเมื่อถูกนำมาสกัดหรือเรียกง่ายๆว่า เรานำมาแช่เพื่อดื่มนั่นเองค่ะ โดยในการแช่ชาดำ 1 แก้ว ( ปริมาณน้ำ 237 มิลลิลิตร ) จะได้คาเฟอีนที่ 47 มิลลิกรัม หรือบางครั้งอาจมีปริมาณคาเฟอีนสูงถึง 90 มิลลิกรัมเลยค่ะ ซึ่งหากนำมาเปรียบเทียบกับชาเขียวและชาขาว ในปริมาณที่เท่ากันแล้ว ปริมาณคาเฟอีนที่ซ่อนอยู่ในชาเขียวมีประมาณ 20 มิลลิกรัม จนถึง 45 มิลลิกรัม และในชาขาวมีอยู่ประมาณ 6 มิลลิกรัม หรือสูงสุดถึง 60 มิลลิกรัมเลยค่ะ
อีกหนึ่งชนิดของชาที่เรารู้จักกันดี หรือเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆคน นั่นก็คือ มัทฉะ นั่นเองค่ะ ซึ่งถือเป็นชาอีกหนึ่งชนิดที่มีปริมาณคาเฟอีนสูง ในปริมาณผงมัทฉะแท้ 100% จำนวนครึ่งช้อนชาหรือ 1 กรัม มีปริมาณคาเฟอีนสูงถึง 35 มิลลิกรัมเลยค่ะ
และยังมีผลวิจัยอีกว่า หากเราสกัดหรือแช่ชาในเวลาที่นานขึ้น จะทำให้ปริมาณคาเฟอีนในใบชาออกมามากขึ้น ทำให้ชา 1 แก้วที่แช่ชาเป็นเวลานาน จะมี
ปริมาณคาเฟอีนที่สูงขึ้นนั้นเองค่ะ ยกตัวอย่างจากบทความของต่างประเทศที่ว่า เมื่อเราแช่ชาเอิร์ลเกรย์ยี่ห้อ TAZO 1 ซอง ใช้อุณหภูมิน้ำอยู่ที่ 90-95 องศาเซสเซียส และใส่น้ำลงไป 6 OZ หลังจากนั้นแช่ไว้ 1 นาที เราจะได้ปริมาณคาเฟอีนอยู่ที่ 40 มิลลิกรัมค่ะ แต่เมื่อเราลองแช่ต่อไปจนครบ 3 นาที ปริมาณคาเฟอีนที่ได้จะสูงถึง 59 มิลลิกรัมกันเลยทีเดียวค่ะ
คาเฟอีนในซอฟท์ดริงค์
คุ้นหูกันดีเลยสำหรับเครื่องดื่มชนิดนี้ โดยเฉพาะถ้าเราเอ่ยถึงน้ำอัดลม ทุกคนต้องร้องอ๋อกันเลยทีเดียวค่ะ ซึ่งเครื่องดื่มชนิดนี้ที่วางขายตามท้องตลาดนั้น ปกติคนที่ดื่ม หรือใครหลายๆคนคงรู้กันดีอยู่แล้วใช่ไหมคะว่ามีส่วนผสมของคาเฟอีนอยู่ซึ่งในเครื่องดื่มประเภทซอฟท์ดริงค์บางตัว มีส่วนผสมของคาเฟอีน ในอัตราส่วนคาเฟอีน ประมาณ 34-46 มิลลิกรัมต่อ 1 กระป๋อง ซึ่งเทียบเท่ากับการดื่มชาเลยนะคะ หรือการดื่มประมาณ 3 กระป๋อง คาเฟอีนที่ร่างกายได้รับ ก็จะสูงเท่าการดื่มกาแฟ 1 แก้วเลยค่ะ ซึ่งหากใครที่ดื่มคาเฟอีนมากไม่ได้ หรือแพ้คาเฟอีน ก็อาจจะต้องอ่านฉลากข้างตัวเครื่องดื่มให้ละเอียดก่อนที่จะซื้อนะคะ
คาเฟอีนในเครื่องดื่มชูกำลัง
เป็นที่รู้จักกันดีค่ะสำหรับคาเฟอีนในเครื่องดื่มประเภทชูกำลัง ถือเป็นอีกประเภทเครื่องดื่มที่นิยม สำหรับคนที่ต้องการทำให้ตัวเองตื่นตัว ไม่ง่วงหรือทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้น โดยในปกตินั้นเครื่องดื่มชูกำลังจะมีปริมาณคาเฟอีนที่ไม่เท่ากันแล้วแต่ยี่ห้อ ซึ่งในยี่ห้อของท้องตลาดประเทศไทยจะมีคาเฟอีนไม่เกิน 50 มิลลิกรัม ต่อ 1 ขวดค่ะ ( ประมาณ 100-150 มิลลิลิตร )
คาเฟอีนในช็อคโกแลต
มาถึงข้อนี้กันแล้วเริ่มมีหลายคนที่ยังไม่รู้ใช่ไหมคะ ว่าจริงๆแล้วในช็อคโกแลตที่เราชอบกินกันนั้นมีคาเฟอีนอยู่ด้วย ซึ่งคาเฟอีนในช็อคโกแลต ก็คือคาเฟอีนตามธรรมชาตินั่นเองค่ะ ซึ่งปริมาณจะมาก หรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณโกโก้ที่อยู่ในช็อคโกแลต และนี่จึงเป็นอีกหนึ่งข้อสงสัยทีว่าบางคนที่แพ้คาเฟอีน กินช็อคโกแลตเข้าไปแล้วนอนไม่หลับ หรือรู้สึกว่าเวียนหัว หรือมีอาการปวดหัวนั่นเองค่า
เราจะพบว่าในตัวของดาร์กช็อคโกแลตนั้น จะมีปริมาณคาเฟอีนที่มากกว่าช็อคโกแลตที่เปอร์เซ็นน้อยกว่า หรือพวกช็อคโกแลตนม
- ช็อคโกแลตที่มีเนื้อโกโก้ 45–59% มีคาเฟอีนประมาณ 12 มิลลิกรัม
- ช็อคโกแลตที่มีเนื้อโกโก้ 60–69% มีคาเฟอีนประมาณ 24.4 มิลลิกรัม
- ช็อคโกแลตที่มีเนื้อโกโก้ 70–85% มีคาเฟอีนประมาณ 22.7 มิลลิกรัม
เห็นได้ชัดเลยนะคะว่ายิ่งช็อคโกแลต มีโกโก้โซลิด ( cocoa solids ) หรือเนื้อโกโก้ในปริมาณที่มาก ก็จะมีคาเฟอีนที่สูงขึ้นตามได้ด้วยค่า
คาเฟอีนในยา
“ ในยาบางชนิดมีคาเฟอีน ” บอกเลยว่าใครหลายๆคนในที่นี้ต้องพึ่งรู้แน่ๆเลยค่ะ ว่าในยาสามัญที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์หรือบางตัวที่ต้องใช้แพทย์สั่ง มีส่วนผสมขอคาเฟอีน ในตัวยาตัวนั้นด้วย เช่น ยาแก้ปวด ยารักษาอาการปวดไมเกรน หรือในยาแก้ปวดประจำเดือนที่สาวๆทุกคนอาจจะคุ้นเคยกันดีค่ะ ซึ่งในยาแก้ปวดประจำเดือนนั่นมีส่วนของตัวยา พาราเซตามอล 500 มิลลิกรัม Piramine maleate 15 มิลลิกรัมและคาเฟอีน 60 มิลลิกรัม
คาเฟอีนในยานั้น ถูกใส่เข้าไปเพื่อช่วยเสริมฤทธิ์ของตัวยาหลัก ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ซึ่งมีผลการศึกษาว่านอกจากคาเฟอีนจะกระตุ้นให้สมองตื่นตัวแล้ว ยังช่วยลดอาการปวดในร่างกายได้ดีอีกด้วยค่ะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับสาระที่นำมาฝากกันวันนี้ หลายคนที่ไม่ดื่มกาแฟอาจจะคิดว่าคาเฟอีนนั้นเป็นเรื่องไกลตัว แต่จริงๆแล้วถือเป็นเรื่องที่อาจจะใกล้ตัวมากๆค่ะ จะเห็นได้ว่าในเครื่องดื่มต่างๆ หรือแม้กระทั่งยารักษาโรคก็มีส่วนผสมของคาเฟอีนอีกด้วยค่าา
เรียบเรียงโดย : Hillkoff Academy
25 ต.ค. 2567
16 ธ.ค. 2567